วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เว็บช่วยในการวิเคราะห์แรงของแต่ละค่าเงิน

เว็บช่วยในการวิเคราะห์แรงของแต่ละค่าเงิน
เพื่อให้ท่านๆวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น 
สามารถดูแรงของค่าเงินต่างๆ จากกราฟได้เลยครับ
เป็นภาพตัวอย่างของวันที่29/01/57
สามารถดูได้เป็น วัน 4ชม. 1ชม. 15นาที 5นาที
ค่าบวกเป็นค่าที่มีแรงมาก
ค่าลบเป็นค่าที่มีแรงน้อย
>>>>>>>>>>>>>>คลิ๊กดูได้ที่นี่<<<<<<<<<<<<<<<<<

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

ฟรีตัวช่วยทำเงิน Template MBFX-Version2


การติดตั้ง Indicators


การติดตั้ง Template
หลัง จากที่ดาวน์โหลด Template มาแล้ว ให้ก็อบปี้ไปวางไว้ที่โฟลเดอร์ -->Program Files-->MetaTrader - Masterforex-->templates สำหรับ MT4 ของ Masterforex นะคะ ถ้าใช้ MT4 ของที่อื่นก็ให้ไปที่โฟลเดอร์ของ MT4 นั้นๆ แล้ววางไว้ที่ templates ค่ะ


มีการใช้งานพร้อม ^_^ ขอให้โชคดีรวยๆๆกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

6 วิธีเพิ่มความฉลาดทางด้านอารมณ์ (EQ)

ความฉลาดด้านอารมณ์ (EQ) เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้ชีวิตคุณประสบความสำเร็จและมีความสุข ไม่เว้นแม้ในตลาดฟอเร็กซ์ ที่คุณต่างก็รู้ดีว่า "อารมณ์" เป็นตัวแปลสำคัญในการจะเทรด
ความฉลาดด้านอารมณ์ (EQ) คือความสามารถในรับรับรู้ เข้าใจอารมณ์ที่คุณมีและสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จผล เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาเพิ่มขึ้นเพื่อรับรู้ เข้าใจและบริหารจัดการอารมณ์ของผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน การมี EQ สูงจะช่วยให้คุณสามารถดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณและผู้อื่นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อการใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขสูงสุด

6 วิธีเพิ่มความฉลาดด้านอารมณ์ (EQ)

1. การมีสติ

การมีสติหรือการรู้ตัวเป็นแก่นของความฉลาดด้านอารมณ์ การที่สามารถรู้ตัวว่าคุณมีความรู้สึกอย่างไรบ้างทุกช่วงเวลาและรู้ว่าคุณคือใคร ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ของชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยม คุณสามารถพัฒนาการมีสติได้ด้วยการฝึกการนั่งสมาธิหรือในขณะที่ทำกิจกรรมในแต่ละวันให้โฟกัสอยู่กับปัจจุบันเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจกับแต่ละอารมณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับการค้นหาคำตอบว่าทำไมคุณจึงเกิดอารมณ์เหล่านั้นแล้วจดบันทึกเพื่อการพัฒนาตัวเอง

2. การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น

การเข้าใจความรู้สึกและสามารถเข้าไปอยู่ในใจผู้อื่นได้เป็นความสามารถที่มีพลังอย่างมาก คุณจะได้รับการนับถือจากผู้อื่นช่วยให้คุณได้รับความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการ ช่วยลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นจากเรื่องงานรวมถึงเรื่องส่วนตัวทำให้คุณมีความสุขและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น คุณสามารถพัฒนาการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นได้เช่นเดียวกับการฝึกการมีสติเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจกับแต่ละอารมณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับการค้นหาคำตอบว่าทำไมพวกเขาจึงเกิดอารมณ์เหล่านั้น

3. การควบคุมตัวเอง

คุณต้องลองสังเกตุดูตัวเองว่าทุกวันนี้ “คุณควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้หรือคุณถูกอารมณ์ควบคุม” เมื่อคุณมีสติและรู้ทันอารมณ์ของตัวเองแล้วจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาความคิดและให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ ในแบบที่ต้องการ เพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอถึงข้อดี ข้อเสีย จุดแข็ง จุดอ่อนและผลที่จะตามาก่อนที่จะพูดหรือลงมือทำในสิ่งที่คุณต้องการ คนที่มีความฉลาดด้านอารมณ์สูงกล้าที่จะแสดงออกถึงความคิดเห็น อารมณ์ ความคิด ความเชื่อและจุดยืนของตัวเองให้กับคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่

4. การสร้างแรงบันดาลใจ

เมื่อคุณรู้จักและเข้าใจอารมณ์แล้วคุณสามารถใช้อารมณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้ตัวคุณและผู้อื่นดึงความสามารถที่เก็บไว้มาทำในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จผล คนที่มีความฉลาดด้านอารมณ์สูงสามารถใช้อารมณ์ต่างๆ สร้างแรงบันดาลใจในแต่ละช่วงเวลาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดเช่น เมื่อพบปัญหาใหญ่เขาสามารถใช้แรงบันดาลใจมองเป็นความท้าทายและเป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเอง

5. การเข้ากับผู้อื่น

คนที่มีความฉลาดด้านอารมณ์สูงจะสามารถเข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นแล้วเขาสามารถช่วยให้ผู้อื่นได้ในสิ่งที่ต้องการ ด้วยความเชื่อว่า “เมื่อผู้อื่นได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว พวกเขาก็จะช่วยให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการ” หรือ “ยิ่งให้ คุณยิ่งได้” จึงช่วยให้เขาสามารถเข้ากับผู้อื่นและได้รับการช่วยเหลือโดยง่าย

6. ความสุข

คนที่ฉลาดด้านอารมณ์รู้วิธีการสร้างและใช้อารมณ์ต่างๆ เช่น สุข เศร้า ตื่นเต้น กังวลหรือระวังตัว แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจวิธีสร้างความสุขได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องและยาวนาน เพราะหลายคนมักคิดว่าความสุขมักเกิดจากเงิน สิ่งของหรือผู้อื่น ในความเป็นจริงแล้วความสุขเป็นศิลป์ (Art) ซึ่งคนที่มีความฉลาดด้านอารมณ์สูงสามารถเชื่อและลงมือทำบางอย่างแล้วสามารถมีความสุขทันทีโดยที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ช่วยให้คุณมีความสุขในการทำสิ่งต่างๆเพื่อที่จะประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้นและมีความสุขเพิ่มมากขึ้น
มาพัฒนาความฉลาดด้านอารมณ์ (EQ) กันดีกว่าครับ แล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงความมหรรศจรรย์ของชีวิต

ขอบคุณข้อมูลจาก

เคล็ดลับพื้นฐานสำหรับการเป็นนักลงทุน Forex มืออาชีพ

วันนี้เรามาเริ่มจากพื้นฐานง่าย ๆ กันครับ ปรับพื้นฐานก่อนเพราะส่วนใหญ่ที่เรา ๆ ท่าน ๆ มักพลาดกันเสมอๆ ก็มาจากพื้นฐานไม่แน่นนี่แหละครับ ถ้ารักษาหลักการพื้นฐานเหล่านี้ได้ ท่านก็จะอยู่ในตลาดได้นาน ได้สั่งสมประสบการณ์จนกลายเป็นมืออาชีพ อย่างที่ฝันได้ในที่สุด เรามาเริ่มกันเลยครับ
ข้อแรก อันนี้สำคัญมาก เราจะอยู่ในตลาดได้นานแค่ไหน ต้องข้อนี้เลยครับ คือ ต้องรู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัยพูดง่าย ๆ ก็คือ คนเราไม่มีใครเก่งไปตลอดหรอกครับ เมื่อเราพลาดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ หยุดเสียหาย ครับ หรือที่เรียกกันว่า cut loss นั่นเอง เราต้องหยุดครับ อย่าไปคิดว่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง ไอ้คำว่าเดี๋ยวนี่แหละครับ ทำคน จนมาเยอะต่อเยอะแล้ว จำไว้ครับ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เราระวังไว้ก่อนดีกว่า อย่าลืมนะครับ พลาดปุ๊ป อย่าช้า หยุดเสียหายทันทีครับ
ข้อสอง เราต้องมีหลักการในการเข้าไปทำกำไร คือ ก่อนที่เราจะเทรด ต้องวางแผนให้แน่นอนก่อน เช่นว่าเราจะเทรด ที่เท่าไหร่ เมื่อไหร่เราจะเข้าซื้อ เมื่อwไหร่เราจะขาย และที่สำคัญมากคือ ต้องทำตามกฎที่เราตั้งไว้อย่างเคร่งครัดนะครับ มิฉะนั้น ท่านก็จะไม่รู้เลยว่า ที่เราเทรด ๆ กันไปนั้น จริง ๆ สูตรไหนกันแน่ที่ทำให้เรามีกำไร
ข้อสาม อย่าทำตัวเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี พูดง่าย ๆ ก็คือ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล จริง ๆ ข้อนี้ คล้าย ๆ กับข้อแรกครับ คือ คนเรามันจะมีนิสัยอย่างนึงคือเมื่อเราแพ้เราจะยิ่งเอาคืน และตอนเอาคืนนี่แหละ ที่เราจะยิ่งแพ้หนักเข้าไปอีก บอกตัวเองเสมอครับ อันนี้เกมส์ชีวิต แพ้แล้วบางทีท่านอาจจะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวนะครับ เพราะฉะนั้น คิดดีๆ นะครับ ก่อนที่จะกดอะไรลงไป
ข้อสี่ อย่าเปิดหลาย ๆ ออเดอร์ครับ เราอย่าโลภ บางท่านพอเล่นได้ปุ๊ป ก็คิดว่า เฮ้ย! ง่ายหว่ะ นี่มันเงินหมูๆ ชัดๆ เอาเลย ทุ่มเต็มที่ เปิดทีพร้อมกันหลายสัญญา ปรากฏว่า เกิดแอคซิเดนท์ ไม่ทันได้ดู เรียบร้อยโรงเรียน forex ไปเลยครับท่าน โทษฐานหวังรวยทางลัด เชื่อเถอะครับ แม้แต่ธุรกิจที่รวยเร็วที่สุด ยังต้องใจเย็นในการทำ
ข้อห้า เป็นข้อคิดเตือนในสำหรับมือใหม่ หรือแม้กระทั่งมือเก๋าทั้งหลายครับ ว่าอย่าสวนกระแส บางท่านเล่นได้สักพัก เจอกับความฝันผวนบ่อย ๆ เข้า เริ่มคิดว่า เฮ้ย! ไอ้แบบนี้ มาสวนกระแสแน่ ๆ แล้วก็เลยเทรด สวนทางกับกระแส กลัวว่าจะตกขบวน ผลสุดท้าย ได้ตามขบวนแมงเม่าไปจนได้
ที่จะฝากไว้ก็มีแค่นี้แหละครับ ขอให้ท่านนักเทรดทั้งหลาย จงมีแต่ร่ำรวย ๆ นะครับ


ขอบคุณข้อมูลจาก

กฎ 10 ข้อเพื่อการเทรด Forex ให้ได้กำไร

วันนี้ผมขอเสนอ "กฎ 10 ข้อเพื่อการเทรด Forex ให้ได้กำไร" เป็น 10 ข้อที่ดีมากสำหรับ Technical Analysis ที่แปลมาจากหนังสือ  John Murphy's Ten Laws of Technical Trading

คือ ถ้าเราสามารถทำตามนี้ได้นั้น ผมเชื่อว่าอย่างน้อยๆ เราแทบจะไม่ขาดทุน หรืออาจจะกำไรด้วยซ้ำไปครับ ขอแค่อย่าพยายาม "เดา" เอาเอง มันน่าจะขึ้น หรือมันน่าจะลงครับ ให้เราดูจากสัญญาน Indicators และก็อีกหลายๆ อย่างใน 10 ข้อนี้เป็นตัวชี้นำ หรือแนวทางครับ (เพราะหลายๆ ครั้งที่ ติดลบตัวแดง หรือขาดทุน ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าน่าจะมาจากการตัดสินใจในการ "เดา" เอาเองของเรามากกว่า โดยไม่รอสัญญานจาก Indicators และอีกหลายๆ อย่างประกอบครับ)

กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ
หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ


1. ตามแนวโน้ม
ศึกษา กราฟระยะ ยาว เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์กราฟรายเดือน และรายสัปดาห์ ด้วยการดูย้อนหลังหลายปี โดยการทำแบบนี้ จะทำให้มีมุมมอง ระยะยาว ต่อตลาดได้ดีขึ้น ขณะที่ศึกษากราฟระยะยาวจบแล้ว ควรศึกษากราฟรายวัน และกราฟเทรดภายในวัน การดูกราฟระยะสั้นเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดได้ แม้ว่าคุณจะทำการซื้อขาย ในระยะที่สั้นมากๆ ก็ตาม คุณจะซื้อขายได้กำไรมากขึ้น ถ้าคุณซื้อขายในทิศทางเดียวกับแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว...


2. พุ่งเป้าไปที่แนวโน้ม และไปกับมัน
ตัดสิน แนวโน้ม และซื้อขายตามแนวโน้มตลาด แนวโน้มตลาดแบ่งเป็น 3 รูปแบบคือ ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว เริ่มแรก ควรที่จะใช้กราฟก่อนที่จะเทรด คุณต้องแน่ใจก่อนว่า คุณทำตามทิศทางเดียวกับในแนวโน้มตลาด ซื้อเมื่อแนวโน้มขึ้น ขายเมื่อแนวโน้มลง ถ้าคุณเทรดในระยะกลาง ควรใช้กราฟวัน และรายสัปดาห์ ถ้าคุณเดย์เทรด ควรใช้กราฟวัน และกราฟการซื้อขายภายในวัน แต่ในแต่ละกรณี ควรใช้กราฟระยะยาว ตัดสินแนวโน้ม และใช้กราฟระยะสั้น ตัดสินช่วงจังหวะเวลาซื้อขาย...


3. หาจุดต่ำสุด และสูงสุดของมัน
หา ระดับแนวต้าน (Resistance) และแนวรับ (Support) ตำแหน่งที่ดีสำหรับการซื้อคือ ซื้อใกล้กับแนวรับ โดยที่แนวรับนั้น ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดของเดิม ตำแหน่งที่ดีสำหรับการขายคือ ใกล้เคียงกับแนวต้าน (ตีความได้ว่า น่าจะไม่ใช่ที่แนวต้านพอดี) แนวต้านปรกติแล้ว คือจุดสูงสุดเดิม หลังจากผ่านแนวต้านไปได้จะทำให้เกิดแนวรับใหม่ตรงจุดที่ผ่านไป หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ราคาตรงแนวต้านที่ผ่านไป จะเป็นราคาต่ำสุดใหม่ (แนวรับในอนาคต) ในอีกขณะ ที่เมื่อแนวรับถูกทำลาย ราคาตรงตรงนั้นจะกลายเป็น จุดสูงสุดใหม่ (แนวต้านในอนาคต)...


4. เราจะมองย้อนหลังกลับไปอย่างไร
เราจะใช้การวัดเปอร์เซนต์ Retracement การที่ตลาดขึ้นหรือลง โดยปรกติจะเป็นสัดส่วนจาก แนวโน้มเดิม

ดู ที่รูปนะครับ จะเป็น USD/JPY ที่กราฟ M15 แนวโน้มเดิมคือขึ้น ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแนวโน้ม กลับตัวเป็นลง เราสามารถคาดการณ์ แนวต้าน 23.6% 38.2% 50% 61.8% 100% ในกรณีนี้ Rebound ที่ระดับ 23.6%


(คำ แนะนำทางทฤษฎี : คุณสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงได้จากแนวโน้มที่เป็นอยู่ ในรูปแบบของ % ง่ายๆ 50% Retracement ในแนวโน้มหลัก ถือเป็นระดับปรกติ ระดับน้อยที่สุด คือ 1 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก ระดับมากที่สุดคือ 2 ใน 3 ของแนวโน้มหลัก Retracement แบบ Fibonacci ระดับ 38.2% และ 61.8% ก็น่าสนใจ ในขณะที่เปลี่ยนเป็นแนวโน้มขึ้น จุดซื้อควรเป็นระดับที่ 33-38%)...


5. ลากเส้น
วาด เส้นแนวโน้ม (Trendline) เส้นแนวโน้มเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุดในเครื่องมือแบบกราฟ สิ่งที่คุณต้องการคือ เส้นตรง 1 เส้น และจุดสองจุดบนกราฟ เส้นแนวโน้มขึ้นลากจาก จุดต่ำสุด 2 จุด เส้นแนวโน้มลง ลากจากจุดสูงสุด 2 จุด ราคามักจะถูกดึงกลับไปที่เส้นแนวโน้ม ก่อนที่จะไปตามแนวโน้มต่อไป โดยการขึ้นลงผ่านเส้นแนวโน้มนั้น ปรกติจะถือว่าเป็นการเปลี่นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มที่ใช้ได้ มักจะถูกทดสอบอย่างน้อย 3 ครั้ง เส้นแนวโน้มระยะยาว จะมีประสิทธิภาพมาก และยิ่งจำนวนครั้งที่ถูกทดสอบมีมากเท่าไหร่ ความสำคัญก็จะยิ่งมีมากขึ้น...

6. ตามค่าเฉลี่ย
ค่า เฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) จะให้สัญญาณเป้าหมาย ซื้อและขาย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะบอกคุณว่า แนวโน้มยังอยู่ในแนวโน้มเดิม และช่วยในการทำให้แน่ใจถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม แม้ว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะไม่สามารถบอกคุณถึงอนาคตล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแนวโน้มตามค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่า สนใจ การผสมผสานของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 ค่า เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมมาก สำหรับใช้หาสัญญาณซื้อ และสัญญาณขาย การผสมผสานสัญญาณซื้อ-ขาย ที่เป็นที่นิยมกันคือ 4 กับ 9 วัน , 9 กับ 18 วัน , 5 และ 20 วัน จะให้สัญญาณเมื่อ เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดค่าเฉลี่ยระยะยาวกว่า ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 4 วัน (ระยะสั้น) ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 9 วัน (ระยะยาวกว่า) ขึ้น หมายถึงสัญญาณซื้อ เมื่อราคาตัดสูงขึ้น (สัญญาณซื้อ) หรือต่ำกว่า (สัญญาณขาย) ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 40 วัน ถือว่าเป็นสัญญาณซื้อขายที่ดี โดยที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะเป็นตัวชี้การเป็นไปตามแนวโน้ม ซึ่งวิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้จะดีที่สุดใน ตลาดที่มีแนวโน้มอย่างชัดเจน...


7. เรียนรู้การเปลี่ยนแนวโน้ม
ตรวจ ดูเครื่องมือ Oscillators ต่างๆ เครื่องมือ Oscillators นั้น ช่วยในการหาตลาดที่เกิดภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และตลาดที่เกิดภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ให้ความแน่ใจในการเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เครื่องมือ Oscillators จะเป็นตัวบอกว่าตลาดจะขึ้นหรือลงมากขึ้น หรือจะกลับตัวในไม่ช้า ที่เป็นที่นิยมมากคือ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองค่านี้เป็นที่นิยมใช้ในสเกล 0 ถึง 100 ค่า RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 ถือว่าเป็นภาวะที่ซื้อมากเกินไป (Overbought) ขณะที่ถ้าอ่านค่าได้ต่ำกว่า 30 ถือเป็นภาวะที่ขายมากเกินไป (Oversold) การซื้อหรือขายมากเกินไป สำหรับ Stochastic คือ 80 และ 20 คนส่วนใหญ่นิยมใช้ค่า 14 วัน หรือสัปดาห์ สำหรับ Stochastic และ 9 หรือ 14 วัน หรือสัปดาห์ สำหรับ RSI เมื่อตัว Oscillator เกิด Divergence บ่อยครั้ง จะแสดงถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ ใช้ได้ดีสุดในตลาดที่ไม่มีแนวโน้ม (Sideway) สัญญาณรายสัปดาห์จะใช้กรองสัญญาณรายวัน สัญญาณรายวันสามารถใช้ในการกรองสัญญาณภายในระหว่างวัน...


8. เรียนรู้ สัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นการรวมระบบการตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ด้วยการวัดระดับภาวะซื้อเกินไป (Overbought) และขายเกินไป (Oversold) สัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อ สัญญาณที่เร็วกว่าตัดสัญญาณที่ช้ากว่า และเส้นทั้งสองเส้นต่ำกว่า 0 สัญญาณขายคือ สัญญาณที่ช้ากว่าตัดสัญญาณที่เร็วกว่า และค่าทั้งสองค่า มากกว่า 0 สัญญาณรายสัปดาห์ถือว่ามีความสำคัญเหนือกว่า รายวัน MACD Histogram วาดความแตกต่างระหว่าง 2 เส้น และให้การเตือนก่อนถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม มันถูกเรียกว่า Histogram เนื่องจากระดับความสูงของแท่ง แสดงถึงความแตกต่างระหว่าง 2 เส้นบนกราฟ...


9. มีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม
ใช้ Average Directional Movement Index (ADX) ใช้เส้น ADX ช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าตลาดในขณะนั้นมีแนวโน้ม หรือไม่มีแนวโน้ม มันวัดถึงระดับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม และทิศทางของตลาด การเพิ่มขึ้นของเส้น ADX ชี้ให้เห็นถึงการมีแนวโน้มที่มากขึ้น การลดลงของ ADX ชี้ให้เห็นถึงการที่ตลาดไม่มีแนวโน้ม การเพิ่มของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นตัวชี้วัด การลดลงของ ADX แสดงให้เห็นว่า ควรใช้ค่า Oscillators ด้วยการลากทิศทางของเส้น ADX ผู้ซื้อขายสามารถตัดสินใจระหว่าง สไตล์ในการซื้อขาย และอะไรเป็นตัวชี้วัดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภาวะในตลาดในขณะนั้น...


10. เรียนรู้ถึงการสนับสนุนสัญญาณการซื้อขาย
ปริมาณ การซื้อขาย (Volume) สิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายนั้น ประกอบด้วยปริมาณการซื้อขายรวม และปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ เป็นสิ่งที่สนับสนุนสัญญาณการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายรวมมีความสำคัญมาก่อนราคา ปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นจะทำให้เชื่อได้ว่าชักจูงสู่แนวโน้ม ในขณะที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายรวมควรมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายขณะเปิด เป็นสิ่งที่สนับสนุนว่า เงินใหม่ได้เข้ามาสู่ หรือชักจูงเข้ามาสู่แนวโน้ม การที่ปริมาณซื้อขายขณะเปิดลดลงบ่อยครั้ง จะเป็นการเตือนว่าแนวโนมโน้มใกล้จบลง ราคาที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีทั้งปริมาณการซื้อขายรวมที่มากขึ้น และปริมาณการซื้อขายขณะเปิดทำการ...


การศึกษาทางเทคนิค เป็นทักษะที่ทำให้ดีขึ้นได้ ด้วยประสบการณ์ และการศึกษา ดังนั้นควรศึกษา และเรียนรู้ตลอดเวลา